เลสเตอร์ ซิตี้ พรีเมียร์ลีก จากตัวเลข 26 คะแนน จากการลงสนามในพรีเมียร์ลีก 12 เกมแรก ในฤดูกาลนี้ของสโมสรเลสเตอร์ ซิตี้ ทำให้พวกเขาพาตัวเองขึ้นไปนอนอยู่ที่อันดับสามของตารางคะแนน เป็นรองเพียง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เท่านั้น มันเป็นการออกสตาร์ทที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เมื่อดูจากขนาดของทีมและการที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ก็ถือว่าเพิ่งเข้ามาทำทีมแทน โคล้ด ปูแอล เมื่อช่วงสามเดือนสุดท้ายของฤดูกาลก่อน
เลสเตอร์ ซิตี้ รีเทิร์นอีกครั้งรั้งรองจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก
น่าเหลือเชื่อกว่านั้นก็คือ นี่เป็นการออกซองพรีเมียร์ ลีก ที่ดีกว่า 12 เกมแรกเมื่อปีที่พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ คว้าแชมป์พรีเมียร์ ลีก เมื่อปี 2015-2016 ซะอีก กลับไปที่ช่วงสามเดือนสุดท้าย ที่ เบรนแดน ร็อดเจอร์สต้องเข้ามารับงานต่อจากกุนซือชาวฝรั่งเศส ถือว่าผลงานไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ชนะมากถึง 7 นัด เสมอ 2 และ แพ้เพียง 2 เท่านั้น จบซีซั่นด้วยอันดับเลขตัวเดียว และตัว ร็อดเจอร์ส ก็ได้หยิบจับลองผิดลองถูกมาพอสมควร ก่อนจะเริ่มฤดูกาลใหม่อย่างเต็มตัว
เลสเตอร์ ซิตี้ดีลขายกองหลังได้สมบูรณ์แบบ
การขาย แฮรี่ แมคไกวร์ ออกไปด้วยค่าตัว 80 ล้านปอนด์ ถือเป็นดีลที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก หากดูที่ว่ามันแทบไม่ส่งผลกระทบอะไรเลยกับทีม บวกกับผู้เล่นหน้าใหม่ที่ตบเท้าย้ายเข้ามา ยูริ ตีเลอมองส์ , เจมส์ จัสติน , เดนนิส ปราต และ อาโยเซ่ เปเรซ ก็ถือว่าสมเหตุสมผลและสมฐานะของทีมจนถึงตอนนี้ทีมของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ชนะมากถึง 8 นัด เสมอ 2 และ แพ้เพียง 2 เท่านั้น แถมสองนัดที่แพ้นั้น ก็เป็นการแพ้แบบไม่สมควรแพ้ซะด้วยซ้ำ ทั้งกับเกมที่เจอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ ลิเวอร์พูล ที่เป็นการแพ้เพราะจุดโทษทั้งสองเกม
จิ๊กจอกสยามพวกเขาแพ้ให้ใครบ้างฤดูกาลนี้
นอกจากเจอหงส์แดงและปีศาจแดงที่พวกเขาแพ้ ซึ่งเป็นทีมในกลุ่มพี่เบิ้มทั้งหกของลีกพวกเขายังสามารถควักผลเสมอมาจาก เชลซี ได้ และปราบ ท็อตแน่ม ฮอท สเปอร์ส คว้าสามแต้มมาครองแน่นอนครับว่าไม่มีใครคาดหวังว่าพวกเขาจะสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้อีกครั้งเหมือนที่เคยคว้าแชมป์ลีกได้เมื่อปี 2016 เพราะทราบกันดีว่าตอนนี้มาตรฐานที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ ลิเวอร์พูล ได้เซตเอาไว้นั้นมันสูงลิ่วแค่ใหน และมันยากซะยิ่งกว่าการเข็นภูเขาขึ้นครก เอ้ย!!! เข็นครกขึ้นภูเขาซะอีก
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเลสเตอร์ท้อปโฟร์ถึงหมดฤดูกาล
แต่ด้วยผลงานตอนนี้ สิ่งที่พวกเขาสามารถกล้าที่จะฝันและตั้งความหวังได้ก็คือ การทำอันดับเกาะกลุ่มหัวตารางไปเรื่อยๆ และพาตัวเองให้อยู่ในพื้นที่ท้อปโฟร์ให้ได้เมื่อจบ 38 นัดในเดือนพฤษภาคมปีหน้า เพราะนั่นมันจะเป็นการการันตีว่าตั๋วไปลุยแชมเปี้ยนส์ ลีก จะตกมาอยู่ที่เลสเตอร์ ซิตี้ อย่าลืมนะครับว่าแค่ได้ชื่อว่าเป็นทีมที่ได้เข้าร่วมสังฆกรรมยูซีแอล มันสามารถสร้างเม็ดเงินเข้าสู่ทีมได้มหาศาลมากแค่ใหนและเม็ดเงินตรงนั้น มันก็จะวนกลับมาเป็นฐานในการสร้างทีมให้ดีขึ้นต่อไปนั่นเอง
เลสเตอร์ตั้งเป้าคว้าถ้วยอะไรฤดูกาลนี้
นอกจากการติดท้อปโฟร์ให้ได้ อีกเป้าหมายหนึ่งของจิ้งจอกสยาม หนีไม่พ้นความหวังเล็กๆในฟุตบอลถ้วยใบเล็กอย่าง คาราบาว คัพ ซึ่งอย่างน้อยพวกเขาถือว่าเป็นทีมที่ดูดีและมีโอกาสคว้ามาครอง เพื่อสร้างความมั่นใจและความเชื่อมั่นให้นักเตะ เส้นทางของพวกเขาตอนนี้หลังหักด่าน เบอร์ตัน อัลเบี้ยน ทีมจากลีกวัน มาได้ ทำให้พวกเขาไปรอที่รอบแปดทีมเรียบร้อย นับเป็นปีที่สามติดต่อกันแล้ว ที่พวกเขามาไกลได้ถึงรอบแปดทีมและหากจำกันได้ เลสเตอร์ ในสองฤดูกาลก่อนที่ต้องอกหักตกรอบถ้วยใบนี้ก็ด้วยน้ำมือของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ทั้งสองครั้งนั่นเอง
ร็อดเจอร์สผู้อยู่เบี้องหลังความสำเสร็จ
นอกจาก เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ได้รับคำชมอย่างมากที่ทำให้ทีมมีฟอร์มการเล่นที่ดีเหล่าบรรดานักเตะในแผนกเกมรุกก็ได้รับการยกย่องเช่นกัน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าเกมรุกของพวกเขาคือปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทีมมีผลงานโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ในเวลานี้ 27 ประตู จาก 11 เกมแรก คือใบการันตีผลงานชั้นดีที่พวกเขาทำไว้ เป็นผลงานดีที่สุดอันดับสองรองแค่เพียง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยิงไป 34 ประตู เพียงทีมเดียวเท่านั้น
เจมี่ วาร์ดี้ กลับมาสร้างสรรค์เกมรุกอีกครั้ง
เจมี่ วาร์ดี้ คือคนที่ยิ่งเล่นยิ่งดี แม้อายุจะเยอะแล้ว แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้งเพราะยิงไปถึง 10 ประตู จาก 12 เกมที่ลงสนามเกมลีกมา นอกจากนั้นยังมี ยูริ ตีเลอมองส์ , เจมส์ แมดดิสัน , อาโยเซ่ เปเรซ , ฮาร์วี่ บาร์น ที่่คอยสลับหมุนเวียนกันลงมาสร้างสรรค์เกมรุกให้ทีม จนทำให้สองนักเตะที่เคยเป็นตัวจริงอย่าง มาร์ค อัลไบรท์ตัน และ เดมาไรส์ เกรย์ ต้องหลุดไปนั่งสำรองเลย
อีกทั้งแม้จะเสีย แฮรี่ แม็คไกวร์ ปราการหลังตัวเก่งไปให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ทว่ามันกลับไม่ส่งผลกระทบอะไรเลยกับแผนกเกมรับ ที่สร้างผลงานได้ดีไม่แพ้แผนกเกมรุก เพราะจนถึงตอนนี้ พวกเขาเสียประตูไปเพียง 8 ลูกเท่านั้น ซึ่งเป็นทีมที่เสียน้อยที่สุดในพรีเมียร์ ลีกซึ่งมันบ่งบอกชัดเจนว่า ด้วยพื้นฐานเกมรับที่ดี มันส่งผลถึงความมั่นใจให้กับผู้เล่นแนวรุกได้เล่นกันอย่างสบายใจ และนำมาซึ่งผลงานที่กำลังแล่นลิ่วฉิวติดลมบนอยู่ในตอนนี้นั่นเอง
สุดท้ายแล้วมันคงยากอย่างที่บอกไปในตอนต้น ว่าปาฏิหาริย์ที่จะคว้าแชมป์ลีกให้ได้ ในยุคที่ เรือใบสีฟ้าและหงส์แดง ตั้งมาตรฐาน เอาไว้เสียดฟ้าแบบนี้ เหมือนการนอนฝันกลางวันที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง แต่หากพวกเขายังรักษาความต่อเนื่องแบบนี้ได้เรื่อยๆ การกลับไปเล่นแชมเปี้ยนส์ ลีก ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันเช่นกัน และหากเป็นไปตามเป้าหมายนั้น มันจะเป็นการเริ่มต้นฤดูกาลแรกแบบเต็มตัวของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่สวยงามมากๆ และบางทีเราอาจต้องหันกลับมามอง จิ้งจอกสยาม ตัวนี้ในมุมมองใหม่กันเสียแล้ว
ติดตามข่าวบอล ซลาตันรับอยากริเทรินสปน จะไปอยู่ทีมไหน <<อ่านต่อที่
เทคนิคแทงบอลพร้อมโปรโมชั่นฯ มากมายได้ที่ : sboasia88.com